ดีอีเอส เแจงข้อเท็จจริง 2 ประเด็นโครงการเน็ตประชารัฐ ในข้อมูลการตรวจสอบของ สตง.
04 ก.ค. 2563 / กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) ชี้แจงประเด็นชี้แจงทันสถานการณ์ ประจำวันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม 2563
เรื่อง : สตง. แจงผลสอบ เน็ตประชารัฐ ไม่คุ้มงบ ๑๓,๐๐๐ ล้าน แถมเชื่อมต่อยังไม่ได้ ไม่สะท้อนความสำเร็จการใช้ประโยชน์จากโครงข่ายเน็ตประชารัฐ ดังนี้
ประเด็นที่ชี้แจง :
1. ตามข่าวที่ระบุว่า โครงการเน็ตประชารัฐไม่คุ้มค่า เนื่องจากยังไม่เปิดให้ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมเชื่อมต่อโครงข่ายแบบเปิด (Open Access Network) เพื่อให้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงกับประชาชน หลังจากวางโครงข่ายแล้วเสร็จตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๕๖๐ นั้น
ข้อเท็จจริงคือ :
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๙ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดำเนินโครงการเน็ตประชารัฐ ภายในวงเงินงบประมาณ ๑๓,๐๐๐ ล้านบาท โดยการวางโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสงไปยังหมู่บ้านในพื้นที่ห่างไกล (Zone C) จำนวน ๒๔,๗๐๐ หมู่บ้าน ซึ่งยังไม่มีผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในเชิงพาณิชย์ เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยเป็นโครงข่ายแบบเปิด (Open Access Network)
กระทรวงฯ ได้ดำเนินการวางโครงข่ายแล้วเสร็จ เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๐ โดยมีความยาวโครงข่ายหลัก (Core Network) ประมาณ ๘๒,๐๐๐ กิโลเมตร และให้บริการฟรี Wi-Fi หมู่บ้านละ ๑ จุด ทั้ง ๒๔,๗๐๐ หมู่บ้าน ในความเร็ว ๓๐/๑๐ Mbps โดยใช้งบประมาณ ๙,๘๔๗ ล้านบาท และต่อมาขยายเป็น ๑๐๐/๕๐ Mbps ขณะนี้มีจำนวนผู้ลงทะเบียนใช้งาน จำนวน ๘,๖๓๗,๔๙๗ ราย และจำนวนอุปกรณ์ใช้งานจำนวน ๑๐.๑ ล้านเครื่อง โดยมีการใช้งานโดยเฉลี่ยมากกว่า ๒๐ ล้านครั้งต่อเดือน
เพื่อเตรียมการให้เป็นโครงข่ายแบบเปิด ให้ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมอื่นเชื่อมต่อไปให้บริการยังบ้านเรือนประชาชนได้ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๐ กระทรวงฯ ได้แต่งตั้งคณะทำงานจัดทำหลักเกณฑ์ในการเชื่อมโครงข่ายแบบเปิด โดยได้เสนอหลักการให้ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมทั้งประเภทที่มีโครงข่ายและไม่มีโครงข่ายของตนเอง ให้สามารถเชื่อมต่อโครงข่ายเน็ตประชารัฐ โดยไม่มีค่าใช้บริการ เพื่อลากสายไปให้บริการยังบ้านเรือนของประชาชน ซึ่งจะทำให้เกิดผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมรายเล็กในภูมิภาค ทำให้เกิดการแข่งขัน ประชาชนได้ใช้ประโยชน์และมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำลง ซึ่งได้เสนอคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๑ และเสนอ ครม. รับทราบ เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๑ หลังจากนั้น กระทรวงฯ ได้จัดทำร่างข้อเสนอการใช้โครงข่ายและแจ้งให้ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคทราบ เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ โดยมีผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมสนใจเข้าเชื่อมต่อโครงข่าย จำนวน ๘ ราย
เนื่องจากโครงข่ายเน็ตประชารัฐเป็นทรัพย์สินของรัฐ การอนุญาตให้ใช้ทรัพย์สินจำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างรอบคอบ ในการจัดทำสัญญาการอนุญาตให้ใช้โครงข่ายฯ ได้ส่งร่างสัญญาให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๒ แต่อัยการเห็นว่า มติ ครม. เดิมยังไม่มีความชัดเจนในการเป็นโครงข่ายแบบเปิดที่ให้เอกชนมาใช้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย อีกทั้งมีการประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่า การอนุญาตให้เอกชนนำทรัพย์สินของรัฐไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์อาจเข้าข่าย พ.ร.บ. ร่วมทุนฯ
กระทรวงฯ จึงต้องดำเนินการเพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยได้เสนอให้ ครม. ให้ความเห็นชอบแนวทางการเปิดโครงข่ายเน็ตประชารัฐแบบเปิดให้เอกชนที่สนใจเชื่อมต่อโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่ง ครม. ได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๒ ต่อมาได้หารือไปยังคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนในประเด็นการอนุญาตให้เอกชนนำทรัพย์สินของรัฐไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ว่า เข้าข่าย พ.ร.บ. ร่วมทุนฯ หรือไม่ โดยได้รับหนังสือตอบเมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๖๒ ว่า การดำเนินการในรูปแบบที่กระทรวงฯ นำเสนอไม่เข้าข่ายตาม พ.ร.บ. ร่วมทุนฯ จึงได้จัดส่งสัญญาการใช้โครงข่ายเน็ตประชารัฐ ให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาอีกครั้ง และได้รับการตอบกลับมาเมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๒ ส่งผลให้การเปิดโครงข่ายแบบเปิดมีความล่าช้าไปประมาณ ๑ ปี
เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๒ กระทรวงฯ ได้พิจารณาเห็นชอบให้ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมจำนวน ๖ ราย ที่แสดงความสนใจ เข้าเชื่อมต่อโครงข่ายฯ และปัจจุบันมีผู้ประกอบการฯ ได้ลงนามในสัญญาแล้ว ๔ ราย ได้แก่ (๑) บมจ. ทีโอที (๒) หจก. เอส.ที.แอล เสียง (ไทยแลนด์) (๓) บริษัท วารินชำราบ จำกัด และ (๔) บมจ. กสท โทรคมนาคม ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการ และบางรายเริ่มให้บริการแล้ว
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาได้มีการใช้ประโยชน์โครงข่ายเน็ตประชารัฐในการขยายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ตาม มติ ครม. เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ โดยได้ทำการต่อขยายจากโครงข่ายเน็ตประชารัฐไปยังโรงเรียน ๑,๑๘๗ แห่ง ซึ่งรวมถึงโรงเรียน ตชด. ๓๖ แห่ง และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลและสุขศาลาพระราชทาน ๔๘๔ แห่ง ที่ยังไม่มีโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสงเข้าถึง ทำให้เกิดความครอบคลุมได้ครบทุกแห่ง ส่งผลให้ประหยัดงบประมาณในการดำเนินการได้มากและสามารถดำเนินการได้รวดเร็วขึ้น
2. ผลการตรวจสอบพบว่า กระทรวงฯ ยังไม่สามารถควบคุม ตรวจสอบ และติดตามการเชื่อมต่อโครงข่ายเน็ตประชารัฐให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การให้บริการโครงข่ายแบบเปิด ส่งผลกระทบให้มีผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมบางราย นำโครงข่ายดังกล่าว ไปใช้งานโดยยังไม่ได้รับอนุญาต
ข้อเท็จจริงคือ :
เนื่องจากอุปกรณ์โครงการเน็ตประชารัฐมีการติดตั้งอยู่ในหมู่บ้านห่างไกลทั่วประเทศ กระทรวงฯ จึงได้พัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพย์สิน (MDES-SM) เพื่อควบคุมกำกับอุปกรณ์ปลายทางและการใช้งาน เพื่อให้บริการไวไฟเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และได้เพิ่มระบบบริหารจัดการโครงข่ายแบบเปิด (MDES-OA) เมื่อปลายปี ๒๕๖๒ ทำให้สามารถตรวจสอบการทำงานของอุปกรณ์ สถานะของการใช้และเชื่อมต่ออุปกรณ์เพื่อรองรับการเชื่อมต่อโครงข่ายแบบเปิดที่ได้รับการอนุมัติ
สำหรับกรณีผลการตรวจสอบของ สตง. ว่ามีผู้ประกอบกิจการโทรคมบางรายเชื่อมใช้โครงข่าย โดยไม่ได้รับอนุญาต ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงแล้ว เพื่อตรวจสอบการเชื่อมต่อโครงข่ายแบบเปิดทั้งหมด และรายงานผลให้ทราบภายใน ๖๐ วัน